Inverted Yield Curve เข้าใจได้ง่ายๆ ที่นี่

เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกการเงินเมื่อคืนนี้ครับ หลังจากส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรระยะยาว (อายุ 10 ปี) และพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (อายุ 3 เดือน) ของสหรัฐกลับมาเป็นติดลบครั้งแรกในรอบ 12 ปี ! ส่งผลให้หุ้น Dow Jones ลบหนักกว่า 500 จุด และทำให้นักลงทุนต่างๆ ตั้งคำถามว่ามีอะไรที่เกิดขึ้นกับตลาดการเงินที่เรายังไม่รู้ ? แต่นักลงทุนใหญ่ๆ ของสหรัฐเค้ามองเห็นแล้ว ? ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) กำลังเข้ามาใกล้แล้วจริงๆหรือ ?


ทุกคนอาจจะได้ยินเรื่อง Inverted Yield Curve มาซักพักแล้ว เพราะว่าทางเราก็เคยได้เขียนไปก่อนหน้านี้ ในช่วงที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะ 3 ปี กับ 5 ปี ตัดกันเป็นลบครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้นั้นรุนแรงกว่ามาก ! เนื่องจากเป็นส่วนต่างของระยะสั้นมากๆ (3 เดือน) กับระยะยาวมากๆ (10ปี) ที่กลับเป็นลบแล้ว ! ความน่ากลัวของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นหมายความว่าอย่างไร ?? จะขอค่อยๆ อธิบายตั้งแต่เริ่มแรกคร่าวๆ อีกทีนะครับ

ถ้ายาวไปลองอ่านสรุปด้านล่างได้นะครับ

-------------------------------

ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) คืออะไร ? ทำไมผลตอบแทนถึงเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ ?

หากเราฝากเงินเข้าธนาคาร ถ้าเงินเราต้องไปอยู่กับเค้านานๆ ส่วนมากเราก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงใช่ไหมครับ ? และกลับกันหากเราฝากเงินแค่ระยะสั้นๆ ทำให้อีกแปปเราก็สามารถดึงเงินออกมาได้ ธนาคารเค้าก็จะให้ดอกเบี้ยไม่มากนัก นี่คือผลตอบแทนของการลงทุนหรือการฝากเงินตามปกติ

พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็เหมือนกับการฝากเงินเข้าธนาคารของบริษัทใหญ่ๆทั่วโลกแหละครับ แต่ไปฝากกับรัฐบาลสหรัฐ ตามปกติอัตราผลตอบแทนในระยะสั้นก็จะต่ำกว่าเหมือนกัน แต่สิ่งนึงที่ต่างจากธนาคารคือผลตอบแทนของ Bond Yield นั้น จะขึ้นลงตามความต้องการของนักลงทุน หากมีคนฝากในระยะไหนๆ เยอะผลตอบแทนของระยะนั้นก็จะลดลงตามไป ก็เปรียบเสมือนกับธุรกิจปกติแหละครับ หากสินค้าไหนมีความต้องการเยอะ เราก็จะเพิ่มราคาขึ้นใช่ไหมครับ ? ในขณะเดียวกันสินค้าที่ขายไม่ออก เราก็จะลดราคามันลง

พันธบัตรรัฐบาลก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการคิดผลตอบแทนดอกเบี้ย หากมีแต่คนอยากซื้อพันธบัตรระยะยาว รัฐบาลสหรัฐก็ลดดอกเบี้ยที่ต้องนำเงินไปคืนสิครับ เรื่องอะไรจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงๆ ไปเรื่อยๆในเมื่อมีคนมารอคิวซื้ออยู่มากมาย

-------------------------------

แต่ตอนนี้คนแห่เข้ามาซื้อพันธบัตระยะยาวสูงมากกกกก และไม่มีคนซื้อระยะสั้นเลย จนผลตอบแทนระยะสั้นนั้นสูงกว่า ! มันน่ากลัวอย่างไร ??

การที่นักลงทุนแห่เข้ามาซื้อพันธบัตรระยะยาวอย่างสูงแปลว่า เค้าคิดว่าดอกเบี้ยจะเป็นขาลงแล้ว เค้าจึงยอมที่จะล็อดผลตอบแทนในระยะยาวแม้ว่ามันจะต่ำกว่าระยะสั้น เพราะหากซื้อในระยะสั้นเช้น 1 ปี แล้วผ่านไปปีนึงพอได้เงินกลับมาลงทุนใหม่ ดอกเบี้ยในช่วงนั้นอาจจะลงไปต่ำมากๆแล้ว จนไม่สามารถฝากใหม่ได้ที่ผลตอบแทนเดิม


สิ่งที่น่ากลัวคือ ผู้ที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่างๆนั้นคือบริษัทใหญ่ๆของโลก กองทุนชั้นนำ กลุ่มผู้ที่มีความรู้ทางด้านการเงินโลกเป็นอย่างดี เงินขั้นต่ำสุดในการซื้อพันธบัตรสหรัฐนั้นคือ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกินกว่า 30 ล้านบาท ! ไม่น่าจะใช่ผู้คนรายย่อยอย่างเราอยู่แล้วที่เข้าไปซื้อ กลุ่มคนพวกนี้น่าจะมีข่าวสาร วงในดีกว่าเราแน่ และพวกเค้ากลับพร้อมที่จะฝากเงินเค้าออกไป ไม่ยุ่ง ไม่แตะไปอีก 10 ปี ไม่นำเงินนี้มาลงทุนเลยในระยะสั้น มันก็สื่อได้ถึงภาวะเศรษฐกิจในระยะสั้นไหมละครับ ว่ามันไม่น่ามีอะไรน่าลงทุนแล้ว ฝากเงินเข้าไปธนาคารยาวๆ เพื่อไม่ให้เสียเงินดีกว่า


-------------------------------

Inverted Yield ทำให้เศรษฐกิจจะแย่ ? หรือว่าเศรษฐกิจที่แย่ทำให้เกิด Inverted Yield ??


อันนี้ก็เหมือนกับปัญหา ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกันครับ โลกเศรษฐกิจและการเงินนั้นมันสัมพันธ์กันอยู๋่ตลอด เหตุการณ์ทั้งคู้นั้นส่งผลซึ่งกันและกัน ทำให้ตอนนี้เมื่อเกิด Inverted Yield ขึ้นแล้วเราจึงกลัวว่าจะเกิด Recession ขึ้น

เมื่อกี้เราอธิบายไปแล้วว่าทำไมเศรษฐกิจที่แย่ทำให้เกิด Inverted Yield เพราะว่านักลงทุนไม่ต้องการเงินลงทุน มาลงทุนในระยะสั้นแล้ว หรือที่เราเรียกว่า Risk Off Environment คือตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ลงทุนอะไรก็เสี่ยงหมด สู้เอาเงินออกจากทรัพย์สินเสี่ยงๆ เหล่านี้มาฝากประจำดีกว่า

ในทางกลับกันพอ Bond Curve เป็น Inverted Yield แล้ว มันก็จะยิ่งส่งผลลบต่อเศรษฐกิจเข้าไปอีก เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยระยะสั้นเริ่มแพงกว่าระยะยาวแล้ว ในมุมของการลงทุนก็แปลว่าต้นทุนของกิจการจะแพงขึ้น ค่าแรง ค่ากู้ยึมเงินจะดูสูงขึ้นทันที จนทำให้หลายๆกิจการอาจจะได้ผลตอบแทนไม่คุ้ม เมื่อเทียบกับการฝากเงินในระยะยาว

-------------------------------

แล้วผู้ประกอบธุรกิจสามารถทำอะไรได้ไหม ? ที่ผ่านมา Inverted Yield ก่อให้เกิด Recession ไหม ?

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้คล้ายๆกับ บทความเรื่อง GDP ที่ผมได้เขียนไปนะครับ ว่าในโลกที่สังคมทุนนิยม (Capitalism) ที่เราอยู่ทุกวันนี้ พวกกองทุนใหญ่ๆนั้นเข้าถึงข้อมูลตลาดได้ดีและเร็วกว่าเรา ก็จะเข้าไปเหมาซื้อกลุ่มธุรกิจที่ GDP จะโตนั้นไว้แล้ว ทำให้ธุรกิจเล็กๆนั้นยากที่จะจับปลาใหญ่ในช่วงธุรกิจขาขึ้น เพราะกองทุนได้ทำกิจการตัดหน้าไปแล้ว


ในช่วงธุรกิจขาลงก็่เช่นเดียวกัน หากกองทุนพวกนี้เห็นว่า Recession จะมา พวกเค้าก็ได้เข้าซื้อพันธบัตรล่วงหน้าระยะยาวไว้ก่อนแล้ว เป็นการบริหารความเสียงขององค์กรณ์ต่างๆของเค้าไว้ แล้วการเข้าซื้อนี้ก็มาบีบธุรกิจเล็กๆ ที่ยังไม่ทราบข้อมูลและอาจเตรียมตัวสำหรับ Recession ไม่ทัน มารู้ตัวอีกทีดอกเบี้ยระยะสั้นก็สูงกว่าระยะยาวแล้ว


ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ควรศึกษาตลาดการเงินอย่างลึกซึ้งและพยายามหาเครื่องมือทางการเงินมาบริหารความเสียงขององค์กรณ์ด้วยเช่นกันครับ ที่ผ่านมาเท่าที่จำความได้ Inverted Yield Curve ได้ทำให้เกิด Recession มา 3 รอบแล้ว คือช่วงวิกฤตปี 1990, 2000 และในช่วง Subprime Crisis ในปี 2007 เช่นกันครับ

-------------------------------

สรุป : Inverted Yield Curve นี้คือการที่บริษัทใหญ่ๆ หรือ กองทุนสหรัฐผู้มีความรู้ทางการเงินสูง พวกเค้าต่างได้เข้ามารัดเข็มขัด บริหารความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ไว้แล้ว ตอนนี้ดอกเบี้ยระยะสั้นที่สูงกว่าระยะยาว หากธนาคารกลางไม่เข้ามาช่วงลดดอกเบี้ยนโยลง ต้อนทุนที่สูงจะทำให้ธุรกิจต่างๆเริ่มขาดทุน เงินหนี้เสียที่สูงขึ้น และอาจเกิด Recession ขึ้นได้จริงๆ ครับ

Inverted Yield Curve จึงเป็นสัญญาณเตือนภัย ทางเศรษฐกิจที่สำคัญมากที่สุดตัวนึงเลยทีเดียวครับ

https://www.reuters.com/article/us-usa-economy-yieldcurve-explainer/explainer-what-is-an-inverted-yield-curve-idUSKCN1R32N0

Comments

  1. ปกติ recession คือ gdp โตติดลบติดกัน 2 ไตรมาสขึ้นไปนะครับ ซึ่งด้วยนิยามนี้ ผมข้องใจว่าปี 1990 กับ 2000 เกิด recession ขึ้นตอนไหน คือถ้า economic slow down อ่ะน่าจะใช่ แต่ไม่ใช่ recession

    ReplyDelete

Post a Comment

Popular posts from this blog

"รูปปั้นโอกาส"

ราคาน้ำมันในไทยนั้นอ้างอิงมาจากสิงคโปร์ แต่ราคาที่สิงคโปร์นั้นเค้ากำหนดมาอย่างไร ?

IMO 2020 คืออะไร ? การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดน้ำมัน