Oil Trading ทันตลาดน้ำมันโลกกับ KP

ต้นทุนการผลิตน้ำมันของแต่ละประเทศนั้น มีความสำคัญอย่างไรต่อราคาน้ำมัน ? และจะสามารถบอกทิศทางราคาน้ำมันหรือ ได้หรือไม่ ?? ล่าสุดทาง Zerohedge.com ได้ออกรายงานต้นทุนการผลิตน้ำมันในประเทศหลักๆของโลกออกมา ตามในรูปและลิงค์ด้านล้างนี้ แต่ถ้าถามผมว่าข้อมูลพวกนี้เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ? ดู้ไว้คร่าวๆได้ครับ แต่อย่านำไปเป็นข้อมูลในการลงทุนก่อนที่จะเข้าใจเบื้องหลังของมันก่อนเลยครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่าทำไม ------------------------- เคยสงสัยไหมครับ ว่าทำไมสถาบันการเงินใหญ่ๆของโลกเวลาวิเคราะห์ราคาน้ำมัน ทำไมถึงไม่เอาต้นทุนในแต่ละประเทศมากางออกให้ดูกันชัดๆ แลัววิเคราะห์ต่อให้ดูจากข้อมูลเหล่านี้ไปเลยล่ะ ? คำตอบคือเป็นไปได้ยาก ที่เราจะเห็นรายงานในลักษณะนี้บ่อยๆครับ เพราะ 2 เหตุผลด้วยกัน 1) เพราะต้นทุนจริงๆ นั้นหายากมาก ทุกๆหลุมน้ำมันนั้นมีความต่างกันโดยสิ้นเชิง มีต้นทุนที่ต่างกัน และน้ำมันในประเทศต่างๆก็มีหลายบริษัทที่ขุดเจาะอยู่ ข้อมูลเหล่านี้ถ้าไม่มีข้อมูลภายในมาจริงๆก็จะไม่ทราบเลยอีกเช่นกัน ได้เพียงแค่คาดการณ์เท่านั้น และต้นทุนที่คาดการณ์เหล่านี้ก็เป็นเพียงต้นทุนที่ขุดออกมาจากหลุมเท่าน

หลังสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันก็ดีดตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เราจึงมาสรุปให้ดูว่า นักวิเคราะห์ ดังๆของโลก มองทิศทางตลาดอย่างไรกันบ้างครับ ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ธนาคารใหญ่ๆ 5 ธนาคารได้ออกมาปรับการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ Brent ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าตามนี้ครับ Goldman Sachs - มองว่าการกลับมาคว่ำบาตรอิหร่าน ของสหรัฐในครั้งนี้ อาจจะยังลดการส่งออกของอิหร่านไปถึงศูนย์เลยไม่ได้อย่างที่สหรัฐต้องการ แต่น่าจะดัดการส่งออกไปประมาณ 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน และน่าจะทำให้ราคา Brent วิ่งอยู่ในกรอบ 70-75 เหรียญ ก่อนที่อาจจะปรับตัวลดลงอีกครั้งในระยะยาว Morgan Stanley - มองว่าช่วงสั้นราคาน่าจะขึ้นไปต่อได้ถึง 77.5 เหรียญ และวิ่งอยู่ในกรอบ 70-80 เหรียญได้ เพราะนอกจากเรื่องอิหร่านแล้ว ทางธนาคารยังกังวลเรื่องอุปทานในเวเนซุเอลาและลิเบีย อาจจะลดลงไปได้อีก ส่วนในระยะยาวๆยังมองว่าราคาน่าจะกลับที่ 65 เหรียญ Citibank - Citi น่าจะเป็นธนาคารที่มองราคาสูงสุด ในกลุ่มแบงค์ที่เพิ่งปรับราคาใหม่นี้ โดยคาดว่าราคาน่าจะขึ้นไปสูงเกิน 78 เหรียญได้ เพราะในช่วงสั้น อุปทานในตลาดตึงตัวมาก และคาดว่าโอเปกจะยังไ

#สาระเบาๆเสาร์อาทิตย์ ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้า ออกมาเสร็จก็พบว่านาฬิกาพกของตน ได้หล่นหายไปด้วยนาฬิกาพกเรือนนี้เป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้และมีความหมายต่อเขามาก เขารีบวิ่งไปที่คอกม้าและรื้อหาจนทั่วแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็หาไม่เจอ เขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงเรียกเด็ก ๆ มาแล้วบอกว่า “เด็ก ๆ ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้เงินรางวัลกับคนนั้น" เด็ก ๆ ทุกพากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า พยายามช่วยกันหา จนเวลาผ่านไปนานมาก จนเด็กๆต่างเดินกลับออกมาจากคอกม้าทีละคนด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง เพราะหานาฬิกาพกไม่เจอ จนทำให้ชาวนากำลังถอดใจและคิดว่าคงจะไม่มีวันหาเจอแล้ว ทันใดนั้น ก็มีเด็กคนหนึ่งมาบอกกับเขาว่า “คุณลุงครับ ผมจะขอลองเข้าไปหาดูอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้นนะครับ” ชาวนามองหน้าเด็กชายอย่าง งงๆ คิดในใจว่า พวกเราทุกคนแทบจะพลิกคอกม้าหายังไม่เจอ…แล้วลำพังเด็กคนเดียว จะหาเจอได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ยอมให้เด็กเข้าไปหาต่อ  เด็กคนนั้นเข้าไปตั้งนานก็ยังไม่กลับออกมาซักที ชาวนาเริ่มส

#สาระเบาๆเสาร์อาทิตย์ เด็กชายอายุ 10 ขวบประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนสูญเสียแขนซ้ายไป เมื่อออกจากโรงพยาบาล เขาอยากจะเข้มแข็งกว่านี้ เลยตัดสินใจเรียนยูโด เด็กชายแขนเดียวไปฝากเนื้อฝากตัวกับเซนเซชาวญี่ปุ่นที่แก่พอจะเป็นปู่เขาได้ เด็กชายสนุกกับการเรียนยูโดมาก แต่เวลาผ่านไปสามเดือนแล้ว อาจารย์ก็ยังให้ฝึกท่ายูโดอยู่เพียงท่าเดียว “เซนเซครับ ผมควรจะเรียนท่าอื่นๆ ด้วยรึเปล่า?” เด็กชายถาม “นี่คือท่าเดียวที่เธอจำเป็นต้องรู้” เซนเซตอบ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่เด็กน้อยก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึกต่อไป จากนั้นไม่นาน อาจารย์ก็พาเขาไปแข่งทัวร์นาเมนต์ ด้วยความแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เด็กชายเอาชนะคู่ต่อสู้ในสองรอบแรกได้อย่างง่ายดาย แต่แมทช์ที่สามนั้นยากกว่าเดิม เด็กชายไม่คิดว่าเค้าจะสามารถชนะต่อไปได้ด้วยแขนข้างเดียว การแข่งสูสีอยู่นาน แต่เมื่อถึงจังหวะที่คู่ต่อสู้หมดความอดทนและกระโจนเข้ามา เด็กชายก็ใช้ท่าเดียวที่เขามีอยู่ล้มคู่ต่อสู้เขาได้ เด็กชายเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอย่างงงๆ คู่ชิงนั้นเป็นเด็กที่ตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่ามาก จนเด็กชายคิดเหมือนเดิมว่า คงหมดโอกาสชนะแน่ๆ แต่แล้วเมื่อถึงจังหวะที่คู่ชิงประมาท เด็กชายก็เข้าประชิด

#สาระเบาๆเสาร์อาทิตย์ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลีย จิมมี่เป็นเด็กวัยสี่ขวบที่มักจะโดนเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเรียกมาแกล้งอยู่เสมอ โดยเด็กวัยรุ่นจะให้จิมมี่เลือกระหว่างเหรียญหนึ่งดอลล่าร์และเหรียญสองดอลล่าร์ (ที่ออสเตรเลียนั้นเหรียญ 2 ดอลล่าร์จะมีขนาดเล็กกว่าเหรียญ 1 ดอลล่าร์) ไม่ว่าจิมมี่จะถูกเรียกกี่ที เขาก็เลือกเหรียญที่ใหญ่กว่าเสมอ ทำให้เด็กวัยรุ่นก็จะหัวเราะในความไร้เดียงสาของเด็กตลอดทุกครั้ง วันหนึ่งเด็กวัยรุ่นได้เรียกหญิงสาวคนหนึ่งให้มาดูด้วย "คอยดูนะ จิมมี่มันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็เลือกเหรียญใหญ่ 1 ดอลล่าร์อีก 555” ว่าแล้ววัยรุ่นก็เรียกจิมมี่มาคุย ว่าจะให้เลือกค่าขนมเหมือนเดิม แล้วจิมมี่ก็เลือกเหรียญ 1 ดอลล่าร์อีกจริงๆ พอจิมมี่เดินพ้นสายตาไป เด็กวัยรุ่นก็หันมาบอกหญิงสาวว่า “เห็นมั้ย เจ้าจิมมี่นี่มันโคตรซื่อบื้อเลย” และหัวเราะเยาะกันทั้งกลุ่ม หญิงสาวรู้สึกสงสาร จึงเดินออกมาตามหาจิมมี่ และก็เห็นจิมมี่ที่เพิ่งเดินออกจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกับไอติมในมือ (สงสัยจิมมี่เอาเงินที่เพิ่งได้ไปซื้อมา) จึงถามจิมมี่ว่า “จิมมี่จ๊ะ หนูรู้มั้ยว่าจริงๆ แล้วเหรียญอันที่เล็กนั้นน่ะ มันซื้อ

เจอเรื่องราวดีๆ ในการพัฒนาตนเองอีกเรื่องนะครับ เลยนำแชร์ใน #สาระเบาๆเสาร์อาทิตย์ ครับ 3 ประโยคที่พ่อสอนสั่ง "สี จิ้นผิง" ประธานาธิบดีจีน ------------------------- ตอนเด็กๆ ข้าพเจ้าเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก เจออะไรดีๆ จะอยากเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ โดยไม่ใส่ใจว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร นานเข้า เพื่อนๆ หายไปทีละคนสองคน มีเพื่อนน้อยลงไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้ากลัดกลุ้มและหงุดหงิดใจมาก 1) มีอยู่คืนหนึ่ง คุณพ่อทำบะหมี่สองชาม ชามหนึ่งมีไข่ไก่ฟองหนึ่งบนบะหมี่ อีกชามดูไม่มีอะไร มีแต่บะหมี่ คุณพ่อถามข้าพเจ้าว่าจะทานชามไหน ? ตอนนั้นไข่ไก่เป็นของหายากมาก ก็แหงอยู่แล้ว ข้าพเจ้าก็เลือกทานชามที่มีไข่โปะอยู่ข้างบน แต่ตอนที่ทานอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น เห็นคุณพ่อทานถึงก้นชามแล้ว ในก้นชามถึงกับมีไข่สองฟอง ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจ ที่ตนใจร้อนไม่ได้คิดให้ดี จึงเลือกผิด คุณพ่อเห็น ท่านก็ยิ้ม แล้วพูดกับข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจงจำไว้ ที่ตาเห็นนั้นอาจไม่ใช่ของแท้ คิดจะเอาเปรียบคนอื่น กลับขาดทุนใหญ่หลวงได้นะลูก” 2) ในคืนที่สอง คุณพ่อก็ทำบะหมี่อีกสองชาม ดูแล้วเหมือนของคืนก่อนไม่มีผิด ชามหนึ่งมีไข่โปะอยู่ฟองหนึ่ง อีกชามหน

ราคาน้ำมันไต่ขึ้นมาถึง 72 เหรียญ แต่ความผันผวนของ Brent หรือ Volaility Index นั้นกำลังลดลงไปอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี ! (จากกราฟในคอมเม้น) แต่ทุกๆอย่างอาจเปลี่ยนไปภายในอีก 2 อาทิตย์ เมื่อสหรัฐจะชี้ชะตาตลาดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับการผ่อนผันคว่ำบาตรอิหร่าน --------------------- ดัชนีความผันผวนของน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ที่เราซื้อขายในกรอบแคบๆ 60 – 68 เหรียญมาตลอดไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ และในเดือนเมษายนก็อยู่ภายในกรอบเพียง 68 - 72 เหรียญ ทำให้ไม่เป็นที่น่าแปลกใจมากที่ Volatility Index จะตกลงมาสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี โดยหากเราเข้าไปดูในรายละเอียดแล้ว ความผันผวนที่ซื้อขายกันในตลาดล่วงหน้า (Imply Volatility) นั้นลดลงมาอยู่ที่ 20% ต้นๆ ในขณะที่ความผันผวนของราคาที่ซื้อขายจริงในปัจจุบันนั้นหล่นมาเหลือเพียง 12%เ ท่านั้น  แต่ทำไมความผันผวนของตลาดล่วงหน้า ถึงยังสูงกว่าราคาปัจจุบันถึงเกือบสองเท่านั้นหรือ ? นั้นก็เพราะตลาดทราบดีว่า จุดเปลี่ยนของตลาดที่สำคัญกำลังจะมาถึงครับ --------------------- สถานการณ์ล่าสุดของมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน วันที่ 2 พฤษภาคมนี้ ก็จะถึงกำหนดเส้นตาย 180 วันที่สหรัฐยั

ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังคงไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ จะถึงระดับ 72 เหรียญแล้วนะครับ ท่านที่ติดตามการวิเคราะห์ราคาน้ำมันตามข่าวมาคงได้ยินว่า "ปัจจัยพื้นฐานของตลาดน้ำมันตอนนี้กำลังตึงตัว" แต่จะตึงตัวเท่าไหร่นั้น ? และวัดได้อย่างไรนั้น ? ทางโอเปกเพิ่งออกตัวเลขประเมินการออกมาให้เราครับ  -------------------------------------- เราจะวัดได้อย่างไรว่าความต้องการใช้น้ำมันของโลกนั้นสูงหรือน้อยกว่าปริมาณน้ำมันที่กำลังผลิตออกมาสู่ตลาด ( ถ้าสูงกว่า = สภาพตลาดตึงตัว) ? การจะวัดว่าความต้องการใช้น้ำมันของโลกนั้น เราคงไม่สามารถไปวัดได้จากปริมาณการเติมน้ำมันจากทุกๆ ปั้ม ทุกๆสนามบิน ทุกๆท่าเรือ หรือ ทุกๆโรงงาน มันคงจะยุ่งยากและใช้ทรัพยากรอย่างมหาศาลในการจะวัดมากๆเลยครับ ส่วนการที่จะวัดปริมาณน้ำมันที่ผลิตออกมาในตลาด ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ถึงอาจจะไม่ยากเท่า แต่เวลาที่ต่างกัน (Time lag) ในการวัดการใช้และการผลิต อาจจะให้เกิดข้อมูลที่ผิดผลาดได้   ทำให้นักวิเคราะห์ตลาดน้ำมันต่างๆ จึงทำได้หาวิธีดูสภาพตลาดว่าตึงตัวหรือไม่จากระดับการเปลี่ยนแปลงไปของปริมาณสำรองน้ำมันในทั่วๆโลก (สต็อกน้ำมัน) ตามช่วงเวลา

วันก่อนผมได้โพสต์ถึง Apple ที่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หุ้น Apple ขึ้น 10 วันติด เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันของบริษัท Digital ยักษ์ใหญ่ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย นี่มันก็คือ Game Of Throne นี่หว่า แต่ในที่นี้คือการชิงบัลลังก์ Digital Throne และใครจะคว้าบัลลังก์เหล็กนี้ไปได้ วันหยุดยาวสงกรานต์นี้ เลยอยากมาลองวิเคราะห์สนุกๆ ว่าตระกูลไหน จะมีโอกาสชนะมากที่สุด และเพราะเหตุใด แฟนพันธ์แท้ของซีรีส์ GOT ไม่ควรพลาดการวิเคราะห์นี้นะครับ ! ใครเห็นต่างก็ลองมาแชร์กันครับ ........................................................................................ หลายคนอาจมองว่า Apple เปิดตัว  Apple News +, Apple Card, Apple Arcade และ Apple TV + เพื่อแข่งกับผู้ให้บริการคอนเทนต์และ Streaming อย่าง Netflix , Disney, หรือ New York Times เพื่อแย่งชิง Subsribers  แต่ถ้าดูกันลึกๆ Apple นั้นมีจำนวน Subscribers ล้ำหน้า กลุ่มนั้นไปไกลแล้ว ผมจึงมองว่าจริงๆแล้ว Apple ต้องการจะแข่งกับ Google , Amazon และ Facebook อีกด้วยต่างหาก เพื่อที่จะขยาย Network ให้เย

ประสบความสำเร็จด้วย Marshmallow Test มีการทดลองนึงที่มหาวิทยาลัย Stanford ได้จัดขึ้นมาเพื่อวัดว่า ความสามารถในการควบคุมตัวเองและ ความอดทน จะมีผลต่อความสำเร็จในชีวิตมากน้อยแค่ไหน พออ่านดูแล้วก็สามารถนำมาเป็นข้อคิดที่ดีได้ จึงอยากนำมาแชร์กันใน #สาระเบาๆเสาร์อาทิตย์ ครับ ----------------------------- Marshmallow Test คืออะไร ? การทดลองนี้เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีที่แล้วที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด โดยผู้ทดลองได้นำเด็กเล็กชั้นอนุบาลทดสอบความอดทน โดยได้ให้ขนม Marshmellow ซึ่งเป็นขนมหวานของโปรดเด็กๆในวัยนี้ไว้คนละชิ้น และบอกว่า ตอนนี้ทุกๆคนสามารถทานขนมที่ตัวเองชอบนี้ได้เลย แต่ถ้าใครรอได้และไม่กินขนมในมือนี้ อีก 20 นาที เด็กคนนั้นจะได้ขนมเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น ! ผลของการทดลองก็เป็นไปตามคาดครับ เด็กส่วนใหญ่ก็กินขนม Marshmellow ในมืออย่างเอร็ดอร่อยอย่างไม่รีรอ 55 (มาล่อซะขนาดนี้ใครจะทนไหว) มีเพียงเด็กจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังยอมรอได้ ด้วยความอดทนอดกลั่น (อย่างน่าสงสาร 55) และพวกเค้าก็ได้รางวัลเป็นขนมอีกชิ้นกลับบ้านไป ! หลังการทดลองจบลง ผู้วิจัยก็ได้ติดตามชีวิตของเด็กๆทั้งสองกลุ่มนี้ และพบว่ากลุ่มเด็กๆที่สามารถอ

Warren Buffett ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ธุรกิจที่ที่ดีสุดในโลกคือ ธุรกิจการขายประกัน" และวันนี้ทางเพจ Oil Trading KP ก็เลยอยากจะมาแชร์เทคนิคการเทรด ที่จะทำให้เราสามารถนำเทคนิคความสำเร็จของ Buffet นี้มาใช้ได้ง่ายๆครับ ! ---------------------------------- ทำไม Buffet ถึงมองว่า ธุรกิจการขายประกัน (Insurance) ถึงเป็นธุรกิจที่ดีที่สุด ? บริษัท Berkshire Hathaway ของ Buffet นั้น ได้ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Insurance มาตั้งแต่ปี 1967 มาตลอด และก็เป็นสัดส่วนที่สำคัญมากด้วย โดย Buffet ได้กล่าวไว้ว่า ด้วยธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น เมื่อผู้คนเกิดความกลัวและกังวล จะประเมินมูลค่าความเสี่ยงของอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ไว้สูงกว่าโอกาสจริงที่อาจเกิดขึ้นเสมอ หรือบางทีคนก็ชอบจ่ายเงินประกันไว้เพื่อแลกกับความสบายใจ ในขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจประกันนั้น ได้ประเมินความเสี่ยงของอุบัติเหตุด้วยสถิติย้อนหลัง ด้วยระบบและการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างจริงจัง ทำให้สามารถขายประกันได้ในราคาที่สูงกว่าอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นจริงตามสถิติได้เสมอ และสุดท้ายด้วยความกลัวยังไงผู้คนก็ยอมที่จะซื้อประกันตามราคาที่ตั้งนั้นอยู่ดี จึงเป็นเหตุให้ธุรก

AOC ตั้งคำถามต่อสภาว่า นายแบงค์ใหญ่ๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤต Subprime ในปี 2007 ควรโดนลงโทษมากกว่านี้ไหม ? ขนาดเด็กๆที่ไม่มีเงินซื้อบัตร แอบขึ้นรถไฟฟ้ายังต้องเข้าคุกเลย ! เป็นอีกประเด็นดังในสภาสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานะครับ หลังจากที่ Alexandria Ocasio-Cortez (AOC) หยิบประเด็นสถาบันทางการเงินใหญ่ๆ (Investment Bank) ของสหรัฐ ได้ออกตราสารอนุพันธ์ แบบใหม่ๆและซับซ้อนออกมาให้ประชาชนลงทุน โดยที่หลายๆคนอาจไม่ได้เข้าใจในความเสี่ยงของมัน จนเป็นเหตุให้ฟองสบู่อสังหาฯ ของสหรัฐแตกในปี 2007 และเป็นต้นเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจปี 2007 ผู้คนเสียหายหลายแสน และโดนยึดทรัพย์สินไปมากมาย โดยบทลงโทษส่วนใหญ่ที่นายแบงค์ได้รับ ก็คือการปรับเงิน ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนที่มากเป็นพันล้านเหรียญ แต่ทาง AOC ก็ยกประเด็นขึ้นมาว่าเป็นบทลงโทษที่เหมาะสมแล้วหรือ ?? ความเสียหายที่นายแบงค์เหล่านี้ก่อให้ประชาชนและประเทศมันมหาศาลกว่านี้มาก เงินเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ไม่ได้กระทบต่อธุรกิจของสถาบันทางการเงินเหล่านี้ มิหนำซ้ำหลายๆแบงค์อาจจะนำค่าปรับจำนวนเหล่านี้ไปคำนวนเป็นต้นทุนทางธุรกิจไว้ก่อนแล้ว ! ก่อนที่จะออกตราสารอนุพันธ์ใหม่ๆเหล่านี้ออ

หลายท่านคงจะได้ยินจนชินว่า ราคาน้ำมันในไทยนั้นอ้างอิงมาจากสิงคโปร์ แต่ราคาที่สิงคโปร์นั้นเค้ากำหนดมาอย่างไร ? เป็นราคาที่เหมาะสมไหม ? และสามารถปั่นราคากันได้หรือป่าว ? วันนี้จึงอยากมาเขียนให้ฟังคร่าวๆครับ ขอบคุณทุกท่านนะครับ ทีให้ความสนใจในบทความ "ราคาน้ำมัน Brent และ WTI ต่างกันอย่างไรและควรตามตัวไหน ?" นะครับ มีคำถามเข้ามาเยอะว่าแล้วราคาน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) ที่โรงกลั่นบ้านเราใช้นั้น อยู่ในตลาดไหน ? วันนี้จึงมาเขียนให้เข้าใจกันเลยครับ --------------------------- กลไลราคาน้ำมันดิบดูไบนั้นต่างจาก Brent และ WTI อย่างไร ? อย่างแรกเลยคือ ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI นั้นซื้อขายอยู่ที่ตลาด Exchange ส่วน Dubai นั้นไม่มีตลาด Exchange ครับ อย่าเข้าใจผิดว่า Dubai นั้นเทรดในตลาด (Singapore Simex) นะครับ Brent เทรดที่ตลาด ICE และ WTI ที่ตลาด Nymex ทำให้ราคาของทั้งคู่นั้นสามารถดูราคาได้ง่ายหน่อย เพราะเข้าตาม Web ต่างๆก็จะมีรายงานให้เห็นแล้ว ส่วน Dubai นั้นจะมีระบบซื้อขายคล้ายๆกับ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของสิงคโปร์ โดยราคาจะถูกกำหนดโดย Platts ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลการซื้อขายน้ำม

ตั้งแต่เขียนเพจมาคำถามที่โดนถามมากที่สุดคงเป็น "ทำไมแอดถึงตามแต่ราคาน้ำมัน Brent ? ทำไมไม่ตามราคา WTI ที่เป็นราคาพื้นฐาน (Benchmark) ของโลกล่ะ ? " วันนี้ผมจึงขอถือโอกาสมาอธิบายให้ฟังกันนะครับ ว่าทำไม คร่าวๆก่อนคือ WTI เป็นสัญญาน้ำมันที่ส่งมอบที่อเมริกา ถ้าคุณเข้าไปซื้อขายสัญญา Future น้ำมันตัวนี้ แล้วถือสัญญาจนหมดอายุ แปลว่าคุณต้องเข้าไปรับหรือส่งน้ำมันที่เท็กซัสจริงๆ ทางตลาดตั้งกฏมาแบบนี้เพื่อที่จะให้ราคาซื่้อขายสะท้อนความต้องการของน้ำมันจริงๆ Brent นั้นเป็นสัญญาน้ำมันที่ส่งมอบที่ยุโรป (North Sea) มีกลไกส่งมอบแบบเดียวกัน แต่อยู่กันคนละทวีป ------------------ WTI เป็นราคาพื้นฐาน (Benchmark) ของโลก จริงหรือ ? ตอนที่ผมเริ่มเทรดน้ำมันครั้งแรกเมื่อ 12 ปีก่อน WTI เคยเป็น Benchmark ของโลกจริงๆ ครับ ผมแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อน้ำมันดิบ Brent ในข่าว หรือต้องติดตามราคามันเลย แต่ทุกวันนี้กลับตรงกันข้ามกัน WTI ไม่ได้เป็น Benchmark ของโลกอีกต่อไปแล้วครับ และผมก็แทบจะไม่ต้องติดตามราคาของมันเลย อเมริกาเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากถึง 1/4 ของโลกมาตลอด แต่เคยผลิตได้เพียงน้อยนิดมาก ทำให

ตลาด Wall Street ยังยกให้ Trump เป็นตัวเต็งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2020 โดยในโพลเลือกตั้งนี้ มองว่ามีโอกาศที่ทรัมป์จะได้รับเลือกอีกสมัยสูงถึง 70% ! แล้วมีใครบ้างไหมที่อาจจะมาเป็นม้ามืดในการแข่งครั้งนี้ ?!?!? ถึงแม้หลายๆ สำนักจะมองว่าทรัมป์จะนำมาใสๆ แต่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนั้นยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ จนกว่าจะถึงโค้งสุดท้าย เพราะมีการต่อสู้ที่เข้มข้นมากและผลคะแนนใกล้เคียงที่พร้อมจะพลิกทุกๆครั้ง ยกตัวอย่างเช่นก่อนการเลือกตั้งในครั้งก่อน ตลาด Wall Street ยกให้ Hillary Clinton เป็นตัวเต็งชนะที่ 80% ในขณะที่ให้โอกาสทรัมป์เพียง 13% แต่ผลก็กลับมาพลิกล็อคอย่างที่เราทราบดี เนื่องจากผลการเลือกตั้ง มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างสูงเพราะนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรคที่ต่างกัน เช่นผลที่ทรัมป์พลิกกลับมาชนะในครั้งก่อนก็ดันให้ตลาด Dow Jones พุ่งสูงขึ้นถึง 8% ในวันถัดมาวันเดียว ทุกๆปี CNBC จึงได้จัดโพลถามนักลงทุนใหญ่ๆ ใน Wall Street ถึงมุมมองของพวกเค้า ที่เตรียมตัวต่อผลการเลือกตั้งอย่างไร และในปีนี้ทาง Wall Street คาดว่าหาก โจ ไบเดน (Joe Biden) อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 จากพรรคเดโมแคร

ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่งปิดเหนือระดับ 70 เหรียญได้เป็นครั้งแรกของปีนี้ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ปัจจัยทางพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคกำลังเป็นแนวโน้มขาขึ้นในระยะนี้ครับ แต่เราต้องจับตาดูเรื่องเส้นตายผ่อนผันคว่ำบาตรอิหร่านและการประชุมกลุ่มโอเปก ในช่วงสองเดือนหน้าให้ดีครับ เพราะทั้งสองเหตุการณ์นี้ใหญ่พอที่จะเปลี่ยนทิศทางตลาดได้อย่างสบายๆเลย Brent ปิดเหนือระดับ 70 เหรียญได้เป็นครั้งแรกของปี ! หลังจากที่ราคาน้ำมันค่อนข้างติดอยู่ในกรอบ (Range Bound) ที่ 64-68 เหรียญมาตลอดเดือนมีนา ทางเรามองว่าเราต้องรอให้ราคาหลุดแนวต้าน 68 ไปก่อน ถึงจะมีแรงซื้อเข้ามา ในที่สุดเมื่อต้นอาทิตย์นี้ราคาก็ได้ปิดเหนือกรอบ 68 ได้จากข่าว เจรจาสงครามการค้ามีแนวโน้มคืบหน้าและการผลิตกลุ่มโอเปกที่ยังลดลงต่อเนื่อง ก็ทำให้ราคามีแรงซื้อเข้ามาทั้งอาทิตย์ จนกระทั่งตัวเลขการจ้างงานสหรัฐ Non-Farm Payroll ที่ออกมาดีในวันศุกร์อีก ก็ทำให้ราคาสามารถทะลุไปยืนอยู่เหนือ 70 เหรียญได้ ---------------------------------------------- ทำไมราคาถึงขึ้นมากว่า 30% แล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ ? การขึ้นมาของราคาในครั้งนี้ถือว่าเป็นการขึ้นเป็น

Bitcoin กลับมาคืนชีพอีกครั้ง !?!?! ภายใน 3 วันที่ผ่านมาราคา Bitcoin พุ่งขึ้นกว่า 20% และขึ้นรวมกว่า 50% แล้วนับตั้งแต่ต้นปี ! จนแตะระดับ 5,000 เหรียญแล้ว ! ----------------------------------------- ทำไมราคาถึงขึ้นมาแรง ?  ตอนนี้นักวิเคราะห์ต่างก็ยังไม่แน่ใจกันว่าทำไมราคาถึงขึ้นมาแรงขนาดนี้ แต่ในวันที่ 1 เมษามีคนปล่อยข่าวลือผ่านบทความว่า Bitcoin นั้น กำลังจะได้รับพิจารณาให้ถูกกฎหมายในจีน ! ทำให้ทุกๆคนแห่กันเข้าซื้อเก็งกำไร แต่ต่อมาก็พบว่าเป็นแค่การหลอกในวัน April Fool เท่านั้น ! ส่วนตัวแล้วผมมองว่าการกลับขึ้นมาของ Bitcoin นั้นไม่ใช่แค่เพราะข่าวลือแน่ๆ เพราะการที่ราคาขึ้นมากว่า 20% นั้นต้องใช้เงินในการซื้อกว่า 12 พันล้านเหรียญ (3 แสนล้านบาท) แมงเม่าต่างๆที่ตามข่าวลือไม่น่ามีเงินเยอะขนาดนี้เพื่อเข้าซื้อแน่ๆ ประกอบกับหากเป็นข่าวลือจริงราคาที่ขึ้นมาไม่น่าคงอยู่ได้ต่ออีกสองวัน เพราะข่าวนั้นก็โดนเฉลยไปแล้วว่าเป็นแค่การแกล้ง ----------------------------------------- แล้วทาง KP มองว่าทำไมราคาถึงขึ้นมา ?   เหตุผลที่ผมเชื่อว่าทำให้ราคาขึ้นก็คือ การเข้าซื้อเพราะต้อง Cut Loss ของกอง

March Madness เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการกีฬาสหรัฐที่จัดขึ้นทุกปี มันคือการแข่งขันบาสชิงแชมป์ประเทศของระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งแม้จะเป็นแค่กีฬาสมัครเล่น แต่ก็ทำเงินได้ปีละ 800 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือ 25,000 ล้านบาทต่อปี !!! ใครที่ชื่นชอบกีฬาบาสย่อมรู้จักการแข่งขันของ NCAA (National Collegiate Athletic Association) หรือ สมาคมกีฬาวิทยาลัยแห่งชาติของสหรัฐ ว่าเป็นการแข่งขันบาสที่สนุกและตื่นเต้นมาก บางครั้งจะสนุกกว่า NBA ที่เป็นลีกบาสอาชีพอีกด้วยซ้ำ โดยการแข่งขันที่เข้มข้นทุกๆปี ประกอบกับเลือดของชาวมหาลัยเรา ที่ไม่ว่าจะจบการศึกษาออกไปกี่ปีแล้ว ก็จะยังกลับมาเชียทีมของเราอย่างใจจดใจจ่อทุกๆปี ทำให้ March Madness นี้ เป็นธุรกิจชั้นดีของมหาวิทยาลัย จนทุกวันนี้ก็มีประเด็นที่เป็นดราม่าอยู่เยอะ .... ตอนนี้รอบชิงกำลังจะมีแข่งกันในวันที่ 8 ที่จะถึงนี้ จึงอยากลองแนะนำให้ทุกๆ ท่านได้ลองเปิดดูกันครับ ทำไมบาส NCAA ถึงสนุกกว่า NBA ในหลายๆ ครั้ง ? ในการแข่ง March Madness นั้น 68 ทีมที่เก่งที่สุดในประเทศจะโดนเชิญเข้ามาร่วมแข่งรอบชิงแชมป์แบบแพ้ครั้งเดียวแล้วคัดออกเพื่อหาทีมอันดับ 1 ของประเทศ ! ห

หากพูดถึงบริษัทที่มีกำไรมากที่สุดในโลก หลายๆท่านนั้นคงนึกถึง Apple หรือ Amazon แต่จริงๆแล้ว บริษัทที่มีกำไรที่สุดในโลกนั้น ไม่ใช่สองบริษัทนี้ ... บริษัทที่มีกำไรมากที่สุดปีที่แล้วคือ Saudi Aramco (อารามโก) บริษัทน้ำมันแห่งชาติของ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่ทำกำไรได้มากกว่าอันดับสองอย่าง Apple ถึงสองเท่าเลยทีเดียว !! ปีที่แล้ว Aramco ทำกำไรไปได้ 111 พันล้านเหรียญสหรัฐ (3 ล้านล้านบาท) ในขณะที่ Apple ทำได้เพียง 59.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ดูรายระเอียดในกราฟ ในคอมเม้นได้เลยครับ  ------------------------------------- ทำไมเราถึงไม่ค่อยได้ยินชื่อบริษัทนี้เลย ? เพราะว่าบริษัท Saudi Aramco  นั้นไม่ได้อยู่ในตลาด แต่เป็นบริษัทของรัฐบาลซาอุฯ ซึ่งทำการขุดเงินออกมาจากดินแบบสบายๆ มาเกือบ 100 ปีแล้ว ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 70 เหรียญต่อบาร์เรล ข้อมูลในตลาดที่ออกมาเชื่อว่าต้นทุนการขุดน้ำมันของ Saudi Aramco นั้นอยู่ที่ไม่เกิน 10 เหรียญต่อบาร์เรลอย่างแน่นอน เพราะบ่อน้ำมันของซาอุนั้น เป็นบ่อที่ขุดง่าย เจาะลงไปตรงไหนน้ำมันก็แทบจะพุ่งออกมาแล้ว ด้วยส่วนต่างกำไร (Margin) ที่สูงขนาดนี้ จึงไม่เ