อีกหนึ่งสัญญาณเตือนภัยว่า "วิกฤตเศรษฐกิจ" หรือ Recession กำลังอาจใกล้เข้ามา ก็คือเมื่อการคาดการณ์ GDP จากเซียนนักวิเคราะห์ทั้งหลายเริ่มมีความเห็นต่างกันไปในวงที่กว้างมากขึ้น และตอนนี้ระดับความแตกต่างของการมองเศรษฐกิจสหรัฐนั้น ต่างกันมากที่สุดในรอบ 7 ปี !

ตัวเลขโพลสำรวจของ Bloomberg นั้น เป็นที่รู้จักและยอมรับกันในหมู่นักลงทุนและเทรดเดอร์ครับ โดยทุกๆ เดือนทาง Bloomberg จะมีการจัดทำโพลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ระดับต้นๆของโลก จากทุกๆธนาคารหรือสถาบันเศรษฐกิจดังๆ กว่า 30-40 คน มาสอบถามหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจ, GDP, ดอกเบี้ย หรือแม้แต่ราคาน้ำมัน และ สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ ซึ่งผมนั้นจะคอยติดตามตลอด

เมื่อวานนี้นั้นทาง Bloomberg ได้ออกโพลสำรวจ GDP สหรัฐในปีหน้าออกมา ปรากฏว่ามีนักวิเคราะห์เสียงแตกและมองภาพเศรษฐกิจต่างกันออกไปมากๆ โดยเฉลี่ยพวกเขาคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 2.2% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่มีคนมองต่ำสุดอยู่ที่ -0.75% (ถึงเป็น Recession) และสูงสุดอยู่ที่ 3.25%

-----------------------------------

ทำไมการที่นักวิเคราะห์มองต่างกันมากขึ้น ถึงเป็นสัญญาณเตือนภัย ?

ในการที่นักเศรษฐศาสตร์ต่างๆ ไม่เห็นด้วยซึ่งกันและกันและมีเสียงแตกมากขึ้น ... ในตัวของมันเองก็อาจเป็นลางไม่ดีต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว ว่ามีตัวแปลที่ไม่อาจคาดเดาได้อยู่หลายปัจจัย

แต่ถ้าจะให้พูดถึงหลักสถิตินั้น มนุษย์เราจริงๆแล้วไม่ได้เก่งเรื่องการคาดการณ์อย่างที่เราคิด หากไปดูสถิติย้อนหล้งนั้นจะรู้ได้เลยว่า นักเศรษฐศาสตร์จะไม่เก่งในการทำนายภาวะถดถอย พวกเขามักไม่เห็นด้วยซ้ำเมื่อมีภัยกำลังใกล้เข้ามา กลุ่มคนส่วนใหญ่จะชินกับสถานการณ์ปัจจุบันจนยากที่จะทำให้เชื่อว่าภัยกำลังจะมาเยือนแล้ว

อย่างที่เราเห็นได้ชัดคือในวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 1990 , 2001 และ 2008 นั้น จะมีแค่นักวิเคราะห์เป็นเสียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เริ่มมองเห็นลางไม่ดี โดยเฉพาะปี 2008 (Subprime Crisis) ขอยกตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง "The big short" ซึ่งเป็นหนังอีกเรื่องที่ผมชอบมาก ไม่ว่าตัวเอกอย่าง ไมเคิล เบอร์รี่ (Michael Burry) หรือ มาร์ค บาม (Mark Baum) ที่พยายามชี้ให้ทุกคนเห็นถึงหลักฐานที่พวกเขาพบว่า Recession กำลังจะมา แต่ไม่ว่าจะอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่มีใครเชื่อเลย ยังไงก็ยังต้องมีคนส่วนมากที่ยังติดและชินอยู่กับตลาดขาขึ้นจนชิน สุดท้ายเมื่อไม่มีใครเชื่อ ไมเคิล เบอร์รี่ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ จำใจต้องปิดประตูห้อง ไม่รับโทรศัพท์อีกเลย เพราะมีแต่ลูกค้าตั้งใจจะด่าถึงการตัดสินใจของเค้า (ซึ่งสุดท้ายเค้าเป็นคนส่วนน้อยที่มองเกมส์ถูก) ใครยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ขอแนะนำเลยครับ

-----------------------------------

ถ้างั้นเราก็ควรเตรียมตัวรับวิกฤตสิครับ จะรีรออยู่ทำไม ? ช้าก่อนนะครับ 

อย่างที่บอกครับ เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ยังมีเหตุผลหลายๆประการณ์ที่คนส่วนมากยังมองว่า GDP ปีหน้าของสหรัฐ ผู้แบกรับชะตาชีวิตของเศรษฐกิจโลกไว้ ยังจะมีการเติบโตได้อยู่ที่ 2-3%

โดยนักวิเคราะห์ส่วนนี้ยังมองว่า สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ สองประเทศที่ถือขนาด GDP เกือบ 1/3 ของโลก จะคลี่คลายและเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจโลกโตต่อไปได้อย่างสวยงามอีกครั้ง 

และผลของ Brexit หากสามารถคลี่คลายได้ดี เศรษฐกิจของยุโรปที่นับขนาดเป็นอีก 1/5 ของโลกก็อาจจะไม่ได้แย่เท่าทีคิดได้เช่นกัน หรือแม้แต่เรื่องนโยบายดอกเบี้ยที่ Fed เริ่มจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยแล้วแล้ว สภาพคล่องที่มากขึ้นก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจยังพอจะโตต่อไปได้อยู่อีก

-----------------------------------

สรุป - ปัจจัยที่ไม่แน่นอนหลายๆเรื่องที่กำลังทับถมเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ทำให้นักวิเคราะห์คาดการต่างกันสูงสุดแล้วนับตั้งแต่ปี 2012 เสียงที่เริ่มแตกของนักวิเคราะห์นั้นสะท้อนให้เราเห็นเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนภัยว่า อะไรๆก็อาจเกิดขึ้นได้ แม้แต่เซียนต่างๆของโลก เค้าก็เริ่มมองกันไม่ออกแล้วครับ  


Comments

Popular posts from this blog

"รูปปั้นโอกาส"

ราคาน้ำมันในไทยนั้นอ้างอิงมาจากสิงคโปร์ แต่ราคาที่สิงคโปร์นั้นเค้ากำหนดมาอย่างไร ?

IMO 2020 คืออะไร ? การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดน้ำมัน