Nonfarm Payrolls ต่ำสุดในรอบปีครึ่ง อธิบายแบบง่ายๆว่าตัวเลขจ้างงานสหรัฐสำคัญอย่างไร


ใครที่เป็นเทรดเดอร์หุ้นและค่าเงิน (FX) หรือแม้แต่คนที่เทรดน้ำมันอย่างผมก็ตาม คงทราบกันดีว่าเรามีนัดกันทุกๆ วันศุกร์ต้นเดือน หรือใครที่มีเพื่อนๆ ที่เทรดดัชนีที่เกี่ยวข้องตลาดสหรัฐ ก็อาจจะสังเกตุได้ว่าทำไมทุกๆวันศุกร์ต้นเดือนช่วงเย็นๆ ระหว่างทานข้าวกัน ทำไมเพื่อนเราคนนี้ถึงไม่คุยกับใครเลย แล้วก็มัวแต่มุ่นอยู่กับมือถือ ? 
เหตุผลก็เพราะว่าทุกๆ ศุกร์ต้นเดือนเวลาทุ่มครึ่งบ้านเรานั้น ทางสหรัฐจะมีการประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ (Nonfarm Payrolls) ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะบ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐได้ดีที่สุดตัวนึงเลยทีเดียว และเมื่อคืนนี้ ดัชนี Dow Jones ก็ได้ดิ่งลงเกือบ 200 จุด ค่าเงินสหรัฐอ่อนลงไปทันทีกว่า 1% หลังตัวเลข Nonfarm ออกมาต่ำที่สุดในรอบปีครึ่ง !


ทำไมตัวเลขนี้ถึงสำคัญขนาดนี้ ? ทำไมถึงทำให้หุ้นและค่าเงินสวิงได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่ราคาอาจนิ่งมาตลอดอาทิตย์ ? ในฐานะเทรดเดอร์น้ำมันที่โดนผลกระทบจาดตลาดการเงินนี้อยู่ตลอด จะขอพยายามอธิบายให้ฟังนะครับ
------------------------------------

ตัวเลขการจ้างงาน บ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจอย่างไร ? 
ถ้ามีการจ้างงานเยอะขึ้นก็แปลว่าเศรษฐกิจกำลังโต ธุรกิจต่างๆกำลังดำเนินไปได้ดี แต่ละบริษัทมีการขยายธุรกิจ มีการจ้างพนักงานมากขึ้น อีกทั้งการที่คนมีงานเพิ่มก็จะเป็นทำให้มีการใช้จ่ายในประเทศที่สูงขึ้น ยิ่งกลับไปส่งเสริมให้แนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นเรื่อยๆ 
และในทางตรงข้ามหากการจ้างลดลง ก็แปลว่าธุรกิจต่างๆกำยังแย่ มีการจ้างน้อยลงเพื่อลดต้นทุนบริษัท การผลิตที่ลดลงก็จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่กำลังแย่ และคนที่ตกงานก็จะไม่มีเงินใช้จ่าย ทำให้สภาพเศรษฐกิจแย่ไปเรื่อยๆ 
------------------------------------

แต่ตัวเลขการจ้างงานนี้มันน่าสนใจยังไง ? ในเมื่อเราก็มีข้อมูล GDP , Import/Export ให้ติดตามอยู่แล้ว ?
นอกจากการที่ตัวเลขการจ้างงานนั้นจะเป็นตัวเลขที่เก็บข้อมูลได้เร็วกว่า GDP แล้ว ยังเป็นดัชนีชี้วัดที่สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจอีกด้วย ผลของมันจะบอกถึงสภาพเศรษฐกิจที่อาจจะเป็นในอนาคต (Leading Indicator) ในขณะที่ GDP นั้นจะบอกถึงผลเศรษฐกิจที่ผ่านมา หากเรารอให้ตัวเลข GDP ประกาศออกมา มันจะต้องมาจากการรวมข้อมูลหลายๆด้านมากๆ และตัวเลขที่ออกมาก็เป็นเพียงตัวเลขที่เกิดขึ้นในอดีต 
ในฐานะนักลงทุนและเทรดเดอร์ เราต้องการจะรู้สภาพเศรษฐกิจในอนาคตให้เร็วที่สุด จะได้เก็งกำไรได้ถูกทาง หากมัวแต่รอตัวเลข GDP ให้ออกมา ป่านนั้นตลาดได้ขยับไปนานแล้ว จะไม่ทันซื้อหรือขายเอา และการเข้าตลาดในขณะที่ราคารับรู้ไปแล้วอาจทำให้ผลของราคาสวนทางกับตัวเลขที่ออกมาอีกก็เป็นได้ (ผมจะเคยพูดถึงผลของการรับรู้ Price in ของราคาอยู่บ่อยๆ) ทำให้เทรดเดอร์ทุกท่านนั้นต้องจ้องตัวเลข Nonfarm นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้รู้ถึงอนาคตของเศรษฐกิจก่อนคนอื่นๆ 
------------------------------------

ทำไมถึงต้องเรียกว่า Nonfarm Payrolls ? ไม่ใช่ Job hire ? 
เพราะตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐนี้เป็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเท่านั้น หรือแปลตรงๆ ก็คือไม่รวมภาค Farming (Non-Farm) จริงๆตัวเลขการจ้างงานก็จะบ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจได้ดีอยู่แล้ว แต่ทางสหรัฐเค้าฉลาดมากกว่านั้นเค้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดว่า เนื่องจากการจ้างงานทางภาคเกษตรนั้นจะขึ้นอยู่กับฤดูเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เพราะต่อให้เศรษฐกิจกำลังแย่แค่ไหนก็ตาม หากฤดูเก็บเกี่ยวนั้นมาถึง เราก็ต้องจ้างคนเพิ่มขึ้นมาเก็บเกี่ยวไว้ก่อน และในทางกลับกันต่อให้เศรษฐกิจจะดีแค่ไหน หากไม่ใช่ฤดูให้เก็บเกี่ยวก็ไม่รู้จะจ้างคนให้สิ้นเปลืองไปทำไม
การตัดตัวเลขจ้างงานของภาคการเกษตรออกไปยิ่งทำให้ตัวเลขนี้สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ชัดเจนอย่างสุดๆเลยจริงๆ
------------------------------------

ทำไมตัวเลข Nonfarm ยังออกมาบวก 20,000 คน แต่หุ้นกลับโดนเทขาย ? 
ต้องอธิบายว่าตัวเลขนี้เป็นการรายงานการจ้างที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แปลว่าต่อให้ตัวเลขเป็นบวกน้อยๆ ก็ยังหมายความว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอยู่ ถึงแม้จะเป็นการจ้างที่ชะลอลงก็ตาม เหตุผลที่ตัวเลขเป็นบวกเมื่อคืน แต่ตลาดกลับโดนเทขายก็เพราะว่าเพียงแค่มีสัญญาณที่อาจจะไม่ดีต่อเศรษฐกิจ หลายๆเทรดเดอร์ที่เคยเชื่อมั่นกับสภาพเศรษฐกิจที่ได้ทำการซื้อไว้แล้ว ก็จะไม่รีรอแล้วก็รีบเทขายปิดกำไรออกมาก่อน 
------------------------------------

แล้วตัวเลข Nonfarm นี้เคยติดลบไหม ? 
เคยครับ (ดูได้จากกราฟใน comment นะครับ) Nonfarm เคยติดลบนานหลายเดือนเลยในช่วง วิกฤต subprime ในช่วงปี 2007-2009 
โดยตัวเลขเริ่มดูไม่ดีตั้งแต่ช่วงกลางปี 2007 จนเกิดวิกฤตขึ้นจริงๆ หลายๆธนาคารล้ม ธุรกิจล้มละลายไปหลายๆแห่ง เกิดการกระทบแบบลูกโซ่ ทำให้ตลาดจ้างงานซบเซาและติดลบไปนานสองปี จนกว่าจะมาค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงต้นปี 2019 และก็เป็นผลให้นักลงทุนเริ่มเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและหลังจากนั้นราคาหุ้นโดนไล่ซื้อขึ้นมาเรื่อยๆ 
------------------------------------

แล้วตัวเลข Nonfarm จะกระทบต่อตลาดไหนบ้าง ? และมากน้อยเพียงใด ?
เนื่องจากการจ้างงานนั้น เป็นดัชนีที่วัดผ่านทางภาคธุรกิจที่มีการดำเนินงานจริงๆ วัดมาจากบริษัทต่างๆจริงๆในสหรัฐ ทำให้ตลาดที่โดนกระทบหนักที่สุดแน่นอนนั้นคือตลาดหุ้นสหรัฐ และต่อมาแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐนั้น ก็เป็นผลให้ตลาดค่าเงินดอลล่าร์ USD ก็เป็นตลาดที่สองโดนกระทบหนักรองลงมา และจึงค่อยเป็นผลลูกโซ่สู่ตลาดหุ้นโลกเพราะสหรัฐคือ 20% ของ GDP โลก
ตลาดที่กระทบต่อมาคือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยทองนั้นจะเป็นตัวแรกที่ขยับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นตัวเลขที่ออกมาไม่ดี เพราะนักลงทุนจะโยกเงินเข้าทองซึ่งเป็น Save Haven และทางราคาน้ำมันนั้นก็จะโดนกระทบต่อมาเพราะสหรัฐก็ยังเป็นผู้บริโภคน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก 
------------------------------------

คำแนะนำต่อนักลงทุนและเทรดเดอร์ ในการเทรดช่วง Nonfarm ?
ในช่วงเวลาสั้นๆของการประกาศ Nonfarm ทุกๆศุกร์ต้นเดือน เวลา 19.30 (หรือ 20.30) ไทยนั้น ตลาดจะสวิงอย่างสูงมาก หลายๆครั้งก็ขยับได้ถึง 2-3% ในช่วงพริบตาหากตัวเลขออกมาห่างกว่าที่คาดมาก ทำให้ราคที่ขยับในนาทีเดียวนั้นอาจจะมากกว่าทั้งอาทิตย์ที่เทรดมาเสียอีก 
แนะนำว่าหากเราไม่ได้มีเครื่องมือในการเทรด หรือ Stop Loss ที่เชี่ยวชาญมากนัก ก็แนะนำให้ปิด position หรือลดความเสี่ยงออกไปก่อน เพราะมันไม่ใช่ช่วงเวลาของตลาดที่เราจะมีข้อมูลเพียงพอไปต่อสู้กับระบบ Algorithm Trade ของกองทุนเก็งกำไรต่างๆของสหรัฐ 
อย่าได้เอากำไรที่เราทำมาได้ตลอดอาทิตย์ มาวัดดวงกับตัวเลขๆเดียวที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เลย โดยเฉพาะเทรดเดอร์ที่อยู่ที่ไทย ในเมื่อเป็นวันศุกร์เย็นบ้านเราแล้ว แนะนำว่าให้ปิด position แล้วไปใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนๆ ของเราที่เค้าอาจไม่เข้าใจพวกเรา และรอดูให้ตลาดเริ่มนิ่งแล้วค่อยวางแผนเทรดต่อไปดีกว่าครับ 555 
เทรดเดอร์ท่านใดเข้าใจความรู้สึกนี้ ก็ฝากไลค์ฝากแชร์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

Comments

Popular posts from this blog

"รูปปั้นโอกาส"

ราคาน้ำมันในไทยนั้นอ้างอิงมาจากสิงคโปร์ แต่ราคาที่สิงคโปร์นั้นเค้ากำหนดมาอย่างไร ?

IMO 2020 คืออะไร ? การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดน้ำมัน