ตลาดหุ้นและน้ำมัน สัมพันธ์กันอย่างไร ?
2-3 วันที่ผ่านมานี้ราคาน้ำมันโดนเทขายลงมา 8% แล้ว ถ้าใครไปค้นดูข่าวเมื่อคืนว่าทำไมราคาน้ำมันถึงลง อาจจะได้ยินว่าเป็นเพราะสต็อกน้ำมันดิบ EIA ปรับเพิ่มมากกว่าที่คาดไว้อาทิตย์นี้ แต่นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาน้ำมันลงจริงๆหรือ ? หรือนักข่าวเพียงต้องหาเรื่องอะไรมาเขียน ? วันนี้จึงอยากมาลองถกกันครับ
ถ้าให้วิเคราะห์ตัวเลข EIA อาทิตย์นี้นั้น สต็อกน้ำมันเบนซินและดีเซลลดลงไปมากกว่าที่คาดการณ์มากๆ มากกว่าน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วยซ้ำ ถ้าราคาน้ำมันเมื่อคืนขึ้นเราอาจจะได้ยินเรื่องนี้แทน แต่ทำไมราคาน้ำมันกลับลงมาหลายวันแล้ว ? อุปทานตลาดกำลังล้นหรือ ? ก็ไม่ใช่นะครับ
ในฐานะที่เทรดน้ำมันทุกวันผมขอบอกได้เลยว่าอุปทานตอนนี้ไม่ได้ล้นเลย การผลิตของซาอุก็เพิ่งกลับมา การส่งออกของอิหร่านและเวเนซุเอลาก็ยังน้อยมากๆเพราะโดนคว่ำบาตร ตัวเลขการผลิตสหรัฐก็เริ่มจะนิ่ง
และตลาดซื้อขายน้ำมันก็ยังเป็น Backwardation อย่างชัดเจน ไม่ได้สื่อถึงการที่มีน้ำมันล้นตลาดเลย (ใครไม่เข้าใจตรงนี้ลองหาบทความในเพจอ่านได้ครับ)
แต่เหตุผลที่ผมคิดว่าทำให้ราคาน้ำมันนั้นลงมาอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็น "ความกลัวต่อสภาะวะเศรษฐกิจโลกถดถอยครับ" มีคำสรุปไว้ด้านล่างเผื่อใครไม่มีเวลาอ่านนะครับ
--------------------
ในปีที่ผ่านมานี้ตลาดหุ้นกับน้ำมัน ของโลกสัมพันธ์กันสูงมาก
แต่ในช่วงตั้งแต่ปลายปีที่แล้วนั้นเราจะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ตลาดน้ำมันกำลังให้น้ำหนักกับเศรษฐกิจ (ซึ่งตลาดหุ้นเป็นตัวแปรที่สะท้อนได้เร็วที่สุด) มากกว่าปัจจัยในตลาดน้ำมันเองมากๆ อย่างที่เราเห็นกันตั้งแต่กลางปีแล้วว่า ไม่ว่าจะมีการยึดเรือน้ำมันอิหร่าน การโจมตีโรงน้ำมันซาอุ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นไปได้แค่ไม่กี่วันสุดท้ายก็จะกลับมาที่เดิม
และเทรนด์ที่เปลี่ยนใหญ่ๆ อย่างที่ผมได้วงไปในกราฟก็เห็นชัดเลยว่าตลาดหุ้นเป็นตัวแปลที่ทำให้ราคาน้ำมันเปลี่ยนทิศไม่ว่าจะมาจากการทวีตของทรัมป์ การเจรจาการค้าที่ดีขึ้น การขึ้นหรือยกเลิกภาษี ล้วนเป็น Leading Indicator ของน้ำมันในปีนี้ทั้งสิ้น
--------------------
แล้วถ้าย้อมไปในอดีต หุ้นกับน้ำมัน สัมพันธ์กันหรือไม ่ ?
ปัจจัยพื้นฐานของราคาน้ำมัน นั้นขึ้นอยู่กับ อุปสงค์และอุปทาน ถ้าจะเจาะไปดูทางด้านอุปสงค ์นั้น การใช้น้ำมันนั้นจะมากน้อยเ พียงใดก็ขึ้นอยู่กับสภาพเศร ษฐกิจเป็นหลักครับ หากเศรษฐกิจเติบโตการอุตสาห กรรมก็เติบโต การขนส่งก็มีมากขึ้น การใช้น้ำมันก็มากขึ้น และการที่มีการประชาชนจับจ่ ายใช้สอยมากขึ้น ก็ย่อมมีการใช้น้ำมันมากขึ้ น และดัชนีที่จะเป็นตัวชี้วัด เศรษฐกิจได้ดีที่สุดก็คือตล าดหุ้น
ทำให้ความสัมพันธ์ (Correlation) ของราคาหุ้นกับน้ำมันในตลาด โลกนั้น ไปในทิศทางเดียวกันในภาพใหญ ่ แต่อาจจะไม่ได้ขึ้นลงเท่าๆก ันในรายวัน เพราะแต่ละตลาดก็มีปัจจัยปร ะกอบต่างๆของตัวเอง อาจจะต้องใช้เวลากว่าจะเห็น ความสัมพันธ์ที่ชัดเจน เพราะราคาหุ้นที่ขึ้นวันนี้ ยังไม่ได้แปลว่าจะมีบริษัทห รือคนๆไหนเดินเข้าไปเติมน้ำ มันมากขึ้นโดยทันทีในวันเดี ยวกัน จึงเป็นความสัมพันธ์กันทางพ ิ้นฐานเท่านั้น
--------------------
แล้วในยามวิกฤติเศรษฐกิจล่ะ ? ราคาหุ้นกับน้ำมันจะยังสัมพ ันธ์กันอยู่ไหม ?
ในยามวิกฤตเศรษฐกิจนั้น เราควรจะเห็นราคาหุ้นกับน้ำ มันในตลาดโลกจะมีความสัมพัน ธ์รายวันกันมากขึ้น เพราะเรากำลังพูดถึงการไหลข องเงินทุน (Fund Flow) ของสองตลาด ที่ต่างก็เป็น “สินทรัพย์เสี่ยง” ไม่ใช่การขึ้นลงจากการใช้น้ำมันที่มากขึ้นหรือน้อยลงจร ิงๆ เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ ราคาไปในทิศทางเดียวกันในระ ยะสั้น
น้ำมันนั้น ยิ่งวันยิ่งมีความเป็น “สินทรัพย์” มากขึ้นกว่าความเป็นเพียงแค ่สินค้าโภคภัณฑ์ขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกวันนี้ ตลาดน้ำมันล่วงหน้า (Oil Futures) ก็เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ กองทุนต่างๆ สามารถเข้ามาลงทุนได้หากมอง ว่าจะมีราคาสูงขึ้นและมีผลต อบแทน โดย ณ วันนี้แม้แต่ธนาคารต่างๆ ในประเทศไทยก็เปิดกองทุนน้ำ มัน เป็นอีกช่องทางให้ทุกๆคน สามารถลงทุนและถือน้ำมันเป็ นสินทรัพย์ได้เช่นกัน
การที่น้ำมันเป็น “สินทรัพย์” ในยามที่ “ความกลัว” ว่าวิกฤตเศรษฐกิจกำลังจะเข้ ามา ทำให้น้ำมันก็จะโดนเทขายเหม ือนตลาดหุ้น เพราะนักลงทุนอาจจะอยากถือเ งินเป็นสินทรัพย์แทน เพราะมองว่ามีเสียงน้อยกว่า อย่างในช่วงนี้เราก็เห็นนักลงทุนทยอยเทขายนำเงินออกจากตลาดน ้ำมันไปเยอะมากแล้ว
-------------------
แล้วราคาน้ำมันจะลงไปได้ถึง ระดับไหน ?
จากสถิติแล้ว ไม่เคยมี Global Recession ครั้งไหนที่ราคาน้ำมันอยู่ส ูงเกิน 40 เหรียญเลย ทำให้ทางเราเชิ่อว่าหากเกิด ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจริงๆ ราคาน้ำมันคงต้องลงไปต่ำกว่ า 40 เหรียญ แน่ๆในช่วงนั้น
เพราะต้นทุนการผลิตของน้ำมั นกว่า 70% ในโลกนี้ยังมีต้นทุนต่ำกว่า 40 เหรียญ ทำให้ถ้าเกิดวิกฤตจริงราคาก ็ยังจะคงอยู่ต่ำกว่าระดับนั ้นไปได้ซักพักเพราะหลุมเหล่านั้นก็ยังจะผลิตน้ำมันออกมาให้เราใช้ได้ เราไม่ควรชินอยู่กับราคาน้ำ มันที่สูงจนลืมไปว่าตะวันออ กกลางนั้นค่าขุดน้ำมันเค้าน ั้นไม่ได้แพงเลย แต่ราคาน้ำมันแพงเพราะการพย ายามแทรกแทรงและรักษาสมดุลต ลาดไว้ของเค้า
-------------------
แล้วตลาดหุ้นบ้านเราสัมพันธ์กับราคาน้ำมันไหม ?
ถ้าเป็นตลาดหุ้นบ้านเราอาจสัมพันธ์กันแต่ด้วยคนละเหตุผล เศรษฐกิจที่ดีขึ้นของบ้านเราไม่ได้จะทำให้การใช้น้ำมันของโลกนั้นมากขึ้น แต่เพราะกลุ่ม ปตท. นั้นเป็นสัดส่วนใหญ่ของตลาดหุ้น SET บ้านเรา (เข้าใจว่าเกือบ 25% ของ SET ??) และ ราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงกับผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดความสัมพันธ์กัน แต่เราต้องไปทำความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละบริษัทก่อนที่จะเชื่อความสัมพันธ์นี้
-------------------
สรุป – ราคาหุ้นกับน้ำมันในตลาดโลก มีความสัมพันธ์กันในฐานพิ้น ฐานเพราะทั้งคู่ขึ้นลงตามสภ าพเศรฐกิจ แต่ช่วงที่มีความกลัวในตลาด ต่อวิกฤตเศรษฐกิจ จะทำให้ความสัมพันธ์รายวันส ูงขึ้นเพราะทั้งคู่เป็นสินท รัพย์เสี่ยง
การที่ช่วงปีที่ผ่านมาไม่นานนี้ความสัมพันธ์ของสองตลาดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าความกลัวต่อวิกฤตเศรษฐกิจกำลังมีอยู่สูงครับ
ตลาดนั้นจะมีกลไกลของตัวมันเอง และเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้าหากเกิดวิกฤตขึ้นจริงแม้ว่าราคาน้ำมันจะลงมาเยอะแล้ว แต่ก็ยังมีที่ว่างให้ลงได้อีกเยอะค รับ น้ำมันไม่เคยอยู่สูงกว่า 40 เหรียญเลย เมื่อเกิด Global Recession แต่ถ้าวิกฤตไม่เกิดแล้วตลาดน้ำมันกลับมาให้ความสนใจกับปัจจัยพื้นฐานหรือความเสี่ยงทางการเมือง Risk Premium เชื่อว่าราคาก็จะดีดกลับขึ้นไปถึง 65-70 เหรียญได้ง่ายๆ เช่นกันครับ
ถ้าให้วิเคราะห์ตัวเลข EIA อาทิตย์นี้นั้น สต็อกน้ำมันเบนซินและดีเซลลดลงไปมากกว่าที่คาดการณ์มากๆ มากกว่าน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วยซ้ำ ถ้าราคาน้ำมันเมื่อคืนขึ้นเราอาจจะได้ยินเรื่องนี้แทน แต่ทำไมราคาน้ำมันกลับลงมาหลายวันแล้ว ? อุปทานตลาดกำลังล้นหรือ ? ก็ไม่ใช่นะครับ
ในฐานะที่เทรดน้ำมันทุกวันผมขอบอกได้เลยว่าอุปทานตอนนี้ไม่ได้ล้นเลย การผลิตของซาอุก็เพิ่งกลับมา การส่งออกของอิหร่านและเวเนซุเอลาก็ยังน้อยมากๆเพราะโดนคว่ำบาตร ตัวเลขการผลิตสหรัฐก็เริ่มจะนิ่ง
และตลาดซื้อขายน้ำมันก็ยังเป็น Backwardation อย่างชัดเจน ไม่ได้สื่อถึงการที่มีน้ำมันล้นตลาดเลย (ใครไม่เข้าใจตรงนี้ลองหาบทความในเพจอ่านได้ครับ)
แต่เหตุผลที่ผมคิดว่าทำให้ราคาน้ำมันนั้นลงมาอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็น "ความกลัวต่อสภาะวะเศรษฐกิจโลกถดถอยครับ" มีคำสรุปไว้ด้านล่างเผื่อใครไม่มีเวลาอ่านนะครับ
--------------------
ในปีที่ผ่านมานี้ตลาดหุ้นกับน้ำมัน
แต่ในช่วงตั้งแต่ปลายปีที่แล้วนั้นเราจะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ตลาดน้ำมันกำลังให้น้ำหนักกับเศรษฐกิจ (ซึ่งตลาดหุ้นเป็นตัวแปรที่สะท้อนได้เร็วที่สุด) มากกว่าปัจจัยในตลาดน้ำมันเองมากๆ อย่างที่เราเห็นกันตั้งแต่กลางปีแล้วว่า ไม่ว่าจะมีการยึดเรือน้ำมันอิหร่าน การโจมตีโรงน้ำมันซาอุ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นไปได้แค่ไม่กี่วันสุดท้ายก็จะกลับมาที่เดิม
และเทรนด์ที่เปลี่ยนใหญ่ๆ อย่างที่ผมได้วงไปในกราฟก็เห็นชัดเลยว่าตลาดหุ้นเป็นตัวแปลที่ทำให้ราคาน้ำมันเปลี่ยนทิศไม่ว่าจะมาจากการทวีตของทรัมป์ การเจรจาการค้าที่ดีขึ้น การขึ้นหรือยกเลิกภาษี ล้วนเป็น Leading Indicator ของน้ำมันในปีนี้ทั้งสิ้น
--------------------
แล้วถ้าย้อมไปในอดีต หุ้นกับน้ำมัน สัมพันธ์กันหรือไม
ปัจจัยพื้นฐานของราคาน้ำมัน
ทำให้ความสัมพันธ์ (Correlation) ของราคาหุ้นกับน้ำมันในตลาด
--------------------
แล้วในยามวิกฤติเศรษฐกิจล่ะ
ในยามวิกฤตเศรษฐกิจนั้น เราควรจะเห็นราคาหุ้นกับน้ำ
น้ำมันนั้น ยิ่งวันยิ่งมีความเป็น “สินทรัพย์” มากขึ้นกว่าความเป็นเพียงแค
การที่น้ำมันเป็น “สินทรัพย์” ในยามที่ “ความกลัว” ว่าวิกฤตเศรษฐกิจกำลังจะเข้
-------------------
แล้วราคาน้ำมันจะลงไปได้ถึง
จากสถิติแล้ว ไม่เคยมี Global Recession ครั้งไหนที่ราคาน้ำมันอยู่ส
เพราะต้นทุนการผลิตของน้ำมั
-------------------
แล้วตลาดหุ้นบ้านเราสัมพันธ์กับราคาน้ำมันไหม ?
ถ้าเป็นตลาดหุ้นบ้านเราอาจสัมพันธ์กันแต่ด้วยคนละเหตุผล เศรษฐกิจที่ดีขึ้นของบ้านเราไม่ได้จะทำให้การใช้น้ำมันของโลกนั้นมากขึ้น แต่เพราะกลุ่ม ปตท. นั้นเป็นสัดส่วนใหญ่ของตลาดหุ้น SET บ้านเรา (เข้าใจว่าเกือบ 25% ของ SET ??) และ ราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงกับผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดความสัมพันธ์กัน แต่เราต้องไปทำความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละบริษัทก่อนที่จะเชื่อความสัมพันธ์นี้
-------------------
สรุป – ราคาหุ้นกับน้ำมันในตลาดโลก
การที่ช่วงปีที่ผ่านมาไม่นานนี้ความสัมพันธ์ของสองตลาดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าความกลัวต่อวิกฤตเศรษฐกิจกำลังมีอยู่สูงครับ
ตลาดนั้นจะมีกลไกลของตัวมันเอง และเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้าหากเกิดวิกฤตขึ้นจริงแม้ว่าราคาน้ำมันจะลงมาเยอะแล้ว แต่ก็ยังมีที่ว่างให้ลงได้อีกเยอะค
Comments
Post a Comment