Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจากเรื่อง "The Big Short" กำลังคิดอะไรอยู่ ?

🔎 [ANALYSIS] - Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจากเรื่อง "The Big Short" กำลังคิดอะไรอยู่ ? ทำไมถึงปรับพอร์ตครั้งใหญ่ ขายหุ้นออกไป 75% ของพอร์ตแล้วหันมาถือ Call Options แทน !

มาตามสัญญาแล้วครับ จากบทความเรื่อง "Negative Gamma Effect" ที่เราเขียนไปเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนหลายๆท่านเขียนคอมเม้นท์มาว่าอยากให้วิเคราะห์มุมมองในการลงทุน (หรือพนัน) ของ Michael Burry กันว่าเขามีการปรับพอร์ตอย่างไรบ้างหลังช่วงไวรัสโควิดระบาดนี้

แน่นอนว่า #เป็นโชคของนักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเรา ที่ทางกฎหมายสหรัฐ 13F SEC Filing บังคับให้กองทุนที่มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านเหรียญขึ้นไปต้องรายงานหุ้นและสินทรัพย์ต่างๆทุกๆไตรมาส ทำให้พวกเราสามารถเข้าไปดูได้ว่านักลงทุนระดับโลกเขากำลังเปลี่ยนแปลงการลงทุนของเขากันอย่างไรในเวลานี้

1️⃣ การปรับพอร์ตของ Burry ครั้งนี้เรียกว่า #พนัน น่าจะดีกว่าการลงทุน

ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ! ต้องเรียนว่า Burry นั้นเป็นผู้จัดการกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ซึ่งไม่ได้มีจุดประสงค์ในการทำกำไรจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างเดียว ไม่ได้จะเป็นแค่นักลงทุน VI ที่จ้องจะหาหุ้นพื้นฐานดีราคาต่ำแค่อย่างเดียว เพราะ Hedge Fund Manager นั้นทำหน้าที่คล้ายๆกับ #Trader ไปด้วยเสียมากกว่า

กองทุนเก็งกำไรจะคอยหาช่องโหว่ของตลาด มองหาจุดเหลื่อมล้ำของตลาด ว่าจะมีโอกาสในการเข้าทำกำไรจากความไม่สมดุลของตลาดในจุดไหนบ้างเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ พวกเขาไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ผลตอบแทนของกองทุนนั้นล้อไปกับผลตอบแทนของดัชนีโลก

Burry ผู้บริหารกองทุนเก็งกำไรชื่อ Scion Capital นั้นไม่เคยที่จะหาผลตอบแทนจากการลงทุนในแค่การซื้อหุ้นอยุ่แล้ว เป็นที่มาที่ทำให้เขาเข้าพนัน Short ในตลาดสินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐ เมื่อเขาเห็นว่าฟองสบู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐกำลังจะแตกแล้ว ตามในหนังเรื่อง "The Big Short" จนทำให้เขาเป็นที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้

2️⃣ Burry ขายหุ้น 75% ของพอร์ตออกไป #เพื่อนำเงินมาเดิมพันครั้งใหญ่อีกครั้ง

รายงาน 13F SEC Filing ในไตรมาสที่ 2 ของกองทุน Burry นั้นแสดงให้เห็นว่าเขามีการซื้อขายสินทรัพย์ทั้งหมดเพียงแค่ 34 รายการเท่านั้น ! ซึ่งถือว่าน้อยมากๆครับสำหรับนักลงทุนระดับโลกขนาดนี้

ต้องถามว่าในไตรมาสที่ผ่านมานี้ #มีใครที่อ่านอยู่ทำรายการน้อยกว่า Burry บ้างครับ ?

แต่เราก็ไม่แปลกใจ เพราะทาง Burry นั้นโด่งดังจากการที่เขาจะไม่ทำการลงทุนที่ซับซ้อนเกินไป และเขาไม่ต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงด้วย หากเขาเชื่อในมุมมองและทิศทางที่วิเคราะห์มาแล้ว เขาก็จะเดิมพัน All In 100% ไปกับมุมมองนั้นๆ 

โดยครั้งนี้ Burry ได้ขายหุ้น 75% ของพอร์ตออกไป ไม่ว่าจะเป็น (รายละเอียดของตารางแบนในคอมเม้นท์) 

1) ขายหุ้นบริษัท Jack in the box (12.2% ของพอร์ต) ออกไปจนหมดพอร์ต

2) ขายหุ้นบริษัท Facebook (11.6% ของพอร์ต) ออกไปจนหมดพอร์ต

3) ขายหุ้นบริษัท Boing (10.4% ของพอร์ต) ออกไปจนหมดพอร์ต 

4) ขายหุ้นบริษัท Gamestop ออกไป 8.44% ของพอร์ต

5) ขายหุ้นบริษัท Qorvo ออกไป 9.11% ของพอร์ต

6) ขายหุ้นบริษัท Maxar technologies ออกไป 9.48% ของพอร์ต

รวมๆแล้วทาง Burry ได้ขายหุ้นออกไปถึง 75% ของพอร์ต หรือเรียกได้ว่า #เป็นการเปลี่ยนพอร์ตอย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางวิกฤตไวรัสโควิด

3️⃣ Burry นำเงินที่เหลือไปซื้ออะไรบ้าง ?

Burry นำเงินที่เหลือทั้งหมดนั้นไปลงทุนในหุ้นเพียง 10 ตัวเท่านั้นครับ และ 7 ใน 10 ตัวนั้นเขาเลือกที่จะซื้อ Call Options แทนที่จะเข้าซื้อหุ้นโดยตรง

#CallOptions คือสิทธิในการซื้อ แปลว่าหากทาง Burry ซื้อสิทธิ Call Options นี้ไว้ เขาจะมีสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาที่ตกลงไว้ หากราคาหุ้นขึ้นแปลว่าเขาจะสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกกว่าตลาด (กำไร) แต่ถ้าราคาหุ้นตกลงและเขาไม่สามารถใช้สิทธินั้นได้โดยที่มีกำไร เขาก็จะเสียเงินในการซื้อสิทธิ Call Options นั้นไปฟรีๆ

4️⃣ Burry ซื้อ Call Options บริษัทอะไรไปบ้าง ?

1) Alphabet (Google) ซื้อไปด้วยเงิน 113 ล้านเหรียญ หรือเป็นมูลค่า 35.9% ของพอร์ต

2) Facebook ซื้อไปด้วยเงิน 21.1 ล้านเหรียญ หรือเป็นมูลค่า 6.7% ของพอร์ต

3) Booking Holdings ซื้อไปด้วยเงิน 18.47 ล้านเหรียญ หรือเป็นมูลค่า 5.86% ของพอร์ต

4) Goldman Sachs ซื้อไปด้วยเงิน 14.5 ล้านเหรียญ หรือเป็นมูลค่า 4.6% ของพอร์ต

5) Western Digital Corp ซื้อไปด้วยเงิน 11.9 ล้านเหรียญ หรือเป็นมูลค่า 3.7%)ของพอร์ต

6) Bank of America ซื้อไปด้วยเงิน 8.13 ล้านเหรียญ หรือเป็นมูลค่า 2.58% ของพอร์ต

7) JP Morgan ซื้อไปด้วยเงิน 8.09 ล้านเหรียญ หรือเป็นมูลค่า 2.57% ของพอร์ต

และยังมีบริษัทอีก 3 บริษัทที่ Burry เข้าซื้อหุ้นธรรมดาแบบปกติ

1) Bed Bath & Beyond ซื้อไป 10.6 ล้านเหรียญ (3.36% ของพอร์ต)

2) Discovery, Inc ซื้อไป 10.55 ล้านเหรียญ (3.35% ของพอร์ต)

3) Trip.com Group ซื้อไป 8.42 ล้านเหรียญ (2.67% ของพอร์ต)

5️⃣ Burry กำลังคิดอะไรอยู่ ?

แน่นอนว่าในหุ้น 3 ตัวที่ Burry ถืออยู่นั้น เขาต้องคิดว่าบริษัทยังโตต่อไปได้อย่างไม่มีความเสี่ยงอะไร เขาจึงเลือกที่ถือเป็นหุ้นธรรมดา

แต่ #คำถามที่สำคัญคือ แล้วเขาคิดอะไรถึงซื้อ Call Options หุ้นอีก 7 บริษัท ?

5.1) Burry มองว่าหุ้นจะขึ้นหรือ ?

ทาง Michael Burry ต้องเชื่อว่าหุ้นยังมี Upside อยู่เขาถึงเลือกที่จะซื้อ Call Options ไม่เช่นนั้นเขาคงขายหุ้นทิ้งออกไปแล้ว แต่เขาเองไม่ได้เชื่อ 100% ว่าหุ้นจะขึ้นไปอย่างเดียว เพราะไม่เช่นนั้นเขาคงเลือกที่จะซื้อหุ้นธรรมดา

5.2) Burry มองว่าหุ้นจะลงหรือ ?

ไม่ใช่เช่นเดียวกันครบ ถ้าทาง Michael Burry เชื่อเช่นนั้นเขาคงเลือกที่จะขายหุ้นออกไปแล้วถ้าเขามองว่าหุ้นจะลง

5.3) Burry มองว่าหุ้นจะเป็น Side Way หรือ ?

ไม่ใช่แน่นอนครับ ! ถ้า Michael Burry เชื่อเช่นนั้น การเข้าซื้อ Options ไม่ว่าจะเป็น Call หรือ Put จะเป็นการโยนเงินทิ้งไปฟรีๆ หรือเป็นการเสียเงินค่าซื้อประกันที่คุณคิดว่าอุบัติเหตุจะไม่ได้เกิดขึ้น จะกลายเป็นเสียเงินค่าเบี้ยประกันไปฟรีๆ

5.4) Burry #มองว่าหุ้นเหล่านี้จะมีความผันผวนสูง !

ทาง Michael Burry คงต้อง #มีมุมมองที่ว่าราคาหุ้นเหล่านี้ไม่ขึ้นสูงไปเลยก็อาจจะโดนเทขายได้หนัก อย่างแน่นอน

เพราะถ้าเขาเชื่อว่าหุ้นจะขึ้นไม่เยอะการซื้อ Call ก็จะไม่คุ้มค่าเบี้ยประกัน (ได้เงินมาแต่ได้ไม่เท่าซื้อหุ้นตรงๆ) แต่ถ้าราคาโดดขึ้นไปสูงๆเลยเงินที่เขาได้ชดเชยกลับมาก็จะคุ้ม

หรือถ้าเขาเชื่อว่าหุ้นจะตกไม่เยอะ เงินที่เสียไปในค่าเบี้ยประกันอาจจะสูงกว่าการขาย Cut Loss เสียอีก แต่ถ้าหุ้นลงหนักๆเขาก็จะประหยัดเงินไปได้เยอะกับการขาดทุนจากการถือหุ้น

#ทำให้เรามั่นใจได้ไว่า ทาง Burry เชื่อว่าความผันผวนจะมาเยือนในหุ้น 7 ตัวดังกล่าวแน่ๆ ทำให้ไม่ว่ามันจะผันผวนหนักไปในทิศทางใดเขาก็จะกำไรเสมอ ถ้าขึ้นก็กำไรจากค่าประกันแต่ถ้าลงก็จะได้กำไรจากการที่ไม่ได้ถือหุ้นเหล่านี้แล้ว (เสียเพียงแค่ค่าประกัน) และที่แน่ๆคือเขาไม่เชื่อว่าราคาหุ้นจะนิ่งอยู่แน่ๆ

อีกทั้งหากทาง Burry คิดจะทำการ Delta Hedging ของ Options เหล่านี้ (ซื้อขายหุ้นควบคู่ไปด้วย ถ้าราคาหุ้นขยับขึ้นลง) เขาก็จะสามารถทำกำไรได้มหาศาลจากการมีสิทธิ Exercise Options เหล่านี้อยู่ในมือ

6️⃣ แต่... ไม่ใช่ว่า Burry ไม่รู้อะไร #แต่เขาต้องรู้อะไรมาเยอะและมั่นใจมากด้วย ถึงเลือกวิธีลงทุนแบบนี้

เราคงไม่รู้ว่าทาง Burry ไปรู้ข้อมูลภายในหรือได้กลิ่นอะไรมา #ถึงกล้าเดิมพันว่าราคาหุ้นจะไม่พุ่งขึ้นฟ้าก็ปรับตัวลงไปสู่เหว โดยเฉพาะกับหุ้นบริษัท Alphabet (Google) ที่เขาเดิมพันเงินไปถึง 35.9% ของพอร์ต !

ทาง Burry คงได้สังเกตุเห็นอะไรบางอย่างจากบริษัทเหล่านี้แน่ๆ เหมือนครั้งที่เขาเดิมพัน The Big Short ไว้ ถ้าทางเราสืบได้จะมาเล่ากันอีกทีนะครับ

7️⃣ ทางเพจพอเดาได้ไหมว่า Burry เห็นอะไรในตลาด ?

ถ้าเป็นเรื่องของตลาดโดยรวมนั้นก็พอจะเดาได้อยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องของทำไมถึงเป็นหุ้นรายตัว 7 ตัวนั้นทางเพจคงไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ แต่ตลาดโดยรวมนั้นอาจมีความผันผวนสูงในอนาคต เพราะว่า

1) #การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังใกล้เข้ามา ผลการเลือกตั้งนั้นสูสีกันมากๆทำให้ผลนั้นผลิกได้ตลอดเวลา และมันจะเป็นตัวแปลสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดหุ้นเลยทีเดียว

2) #สถานการณ์ไวรัสโควิด - แน่นอนว่าการที่เรากำลังมีโรคระบาดอยู่ทั่วโลกนั้นย่อมเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ทุกเมื่อ

3) #ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนจะเป็นระเบิดเวลาไหม ? โดยเฉพาะกับหุ้น Google และ Facebook ?

4) #บทบาทที่มากขึ้นของนักลงทุนรายย่อยทั่วโลก - หัวข้อนี้เราอาจจะสามารถเขียนแยกออกมาได้อีกบทความเลยนะครับ #ถ้าใครสนใจลองฝากคอมเม้นท์เข้ามาบอกกันเยอะๆนะครับ 😊

เรื่องราวนั้นมีอยู่ว่าทุกวันนี้ในเมื่อดอกเบี้ยนั้นต่ำมาก ประชาชนทั่วโลกก็พยายามจะหาทางออมเงินวิธีใหม่ และบัญชีหุ้นที่เปิดใหม่ทั่วโลกนั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่หลังไวรัสโควิดระบาด การมีผู้เล่นในตลาดมากขึ้น มีเงินที่หลั่งไหลเข้ามามากขึ้นย่อมจะทำให้เกิดความผันผวนที่มากขึ้น #ทุนวันนี้กองทุนใหญ่ๆยังต้องกลัวบทบาทของนักลงทุนรายย่อยเหล่านี้กันมากขึ้น

5) #หรือตลาดหุ้นสหรัฐกำลังจะฟองสบู่แตก ? ทาง Burry เคยได้ให้สัมภาษณ์อยู่มาสักพักใหญ่ๆแล้วว่าเขามองว่าเงินที่หลั่งไหลเข้าสูงกองทุนดัชนีอย่าง S&P500, Nasdaq นั้นกำลังทำให้ราคาหุ้นสูงมากกว่าราคาพื้นฐานและกำลังเป็นฟองสบู่อยู่ เพราะกองทุนดัชนีเหล่านี้กำลังช่วยให้เงินทั้งหมดสามารถไหลเข้ามาและถูกกระจายเข้าไปในหุ้นตัวเล็กๆต่างๆได้ง่ายมาก

📌 และนี่เป็นบทสรุปมุมมองของการลงทุน (เดิมพัน) ของ Michael Burry ที่เราพยายามนำมาสรุปและวิเคราะห์ให้ทุกท่าน

ท่านใดเห็นว่าข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ รบกวนช่วยกด Like รัวๆ หรือ Share และ Comment เข้ามาให้แอดด้วยนะครับ เพราะข้อมูลเหล่านี้ใช้เวลานานในการประกอบและศึกษาจริงๆ 🙏😊

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ส่วนท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดการลงทุนไปกับทางเพจเรา #แนะนำให้กดตั้งค่า “รายการโปรด” หรือ "Favourites" ที่เมนูมุมขวาบนของเพจใน Facebook ตรงปุ่ม [...] และกด #เปิดกระดิ่ง ไว้ได้เลยครับ จะได้ไม่พลาดทุกข่าวสารสำคัญจากทางเรา

#ทันโลกกับTraderKP

Comments

Popular posts from this blog

"รูปปั้นโอกาส"

ราคาน้ำมันในไทยนั้นอ้างอิงมาจากสิงคโปร์ แต่ราคาที่สิงคโปร์นั้นเค้ากำหนดมาอย่างไร ?

IMO 2020 คืออะไร ? การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดน้ำมัน